"ในทุกวิกฤติ ย่อมมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ เพียงแค่เรามองให้เห็น และกล้าที่จะลงมือทำ"
— ป้าสมศรี ผู้ก่อตั้งสับปะรดกวนแห่งชุมพร
เรื่องราวของป้าสมศรีไม่ได้เริ่มต้นจากความสำเร็จ หากแต่เริ่มจากวิกฤติที่ทำให้ชีวิตของชาวไร่สับปะรดแทบจะล้มละลาย แต่ในความมืดมิดกลับมีประกายแสงแห่งโอกาสที่คนตาไวเท่านั้นจะมองเห็น
ในไร่สับปะรดเล็กๆ ที่ขยายมาเป็น 30 ไร่ ในอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร มีครอบครัวเล็กๆ ที่พึ่งพารายได้จากการปลูกสับปะรดมาตลอดชีวิต แต่แล้ววันหนึ่งในปี พ.ศ. 2533 ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป...
ราคาสับปะรดดิ่งลงจากกิโลกรัมละ 10 บาท เหลือเพียงกิโลกรัมละ 1 บาท โรงงานแปรรูปลดการรับซื้อ ชาวไร่ต่างเดือดร้อน ไม่รู้จะทำอย่างไรกับผลผลิตที่กำลังจะเน่าเสีย
ป้าสมศรีนั่งมองสับปะรดในไร่ ที่กำลังจะกลายเป็นความสูญเสีย น้ำตาแทบจะไหลออกมา เพราะนี่คือเงินที่ต้องใช้ส่งลูกเรียนและใช้จ่ายในครอบครัว
"ถ้าขายสดไม่ได้ ทำไมเราไม่ลองแปรรูปมันดูล่ะ?" คำถามที่ป้าสมศรีถามตัวเอง เมื่อนึกถึงตำรับสับปะรดกวนที่เคยทำกับแม่สมัยเด็ก
คืนนั้น ป้าสมศรีปรึกษากับครอบครัว ตัดสินใจนำสับปะรดที่เก็บมาได้มากวนในกระทะใบใหญ่ ด้วยความหวังเล็กๆ ว่าอาจพอจะขายได้บ้าง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น บ้านของป้าสมศรีเต็มไปด้วยกลิ่นหอมหวานของสับปะรดกวน ทั้งครอบครัวช่วยกันเคี่ยวสับปะรดในกระทะใบใหญ่ ผลัดกันคนไม่ให้ไหม้
เมื่อกวนเสร็จ ป้าสมศรีบรรจุสับปะรดกวนลงในถุงพลาสติกใสเล็กๆ ผูกด้วยหนังยางอย่างง่ายๆ แล้วนำไปวางขายริมถนนเคียงคู่กับสับปะรดผลสดที่ขายอยู่แล้ว
"อร่อยจัง! ซื้อไปฝากญาติที่กรุงเทพฯ ได้ไหม?" คำชมแรกจากลูกค้าที่แวะมาซื้อ ทำให้ป้าสมศรียิ้มไม่หุบ
ไม่นานสับปะรดกวนก็ขายดิบขายดี บางคนซื้อไปฝาก บางคนซื้อไปกิน สินค้าที่ทำขึ้นในตอนเช้าขายหมดภายในบ่ายวันเดียวกัน นำมาซึ่งรายได้ที่มากกว่าการขายสับปะรดสดหลายเท่า
"ป้าอิ่ม ป้านวล มาช่วยกันทำไหม? สับปะรดแกก็เน่าอยู่ในไร่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ" ป้าสมศรีชักชวนเพื่อนบ้านที่ประสบปัญหาเดียวกัน
ไม่นานหลังจากนั้น ศาลาหมู่บ้านกลายเป็นโรงงานกวนสับปะรดขนาดย่อม มีแม่บ้านในชุมชนมาช่วยกันกวนสับปะรด แบ่งปันความรู้ และร่วมกันสร้างรายได้
"ถ้าเราใส่กล่องใสๆ แบบนี้ จะดูดีขึ้นไหม?" ลูกสาวของป้าสมศรีเสนอ หลังกลับจากเรียนในเมือง นำเอากล่องพลาสติกใสมาให้แม่ลองใช้แทนถุงพลาสติก
ผลตอบรับดีเกินคาด ลูกค้าเต็มใจจ่ายแพงขึ้นเพื่อซื้อสับปะรดกวนในบรรจุภัณฑ์ใหม่ที่ดูสะอาด น่าเชื่อถือ และเหมาะจะเป็นของฝากมากขึ้น
"ถ้าสับปะรดกวนขายดี ทำไมเราไม่ลองกวนผลไม้อื่นดูบ้างล่ะ?" ความคิดนี้ทำให้ป้าสมศรีเริ่มทดลองกับทุเรียนกวน มะม่วงกวน และกล้วยกวน
เริ่มมีพ่อค้าแม่ค้าจากต่างอำเภอมาขอซื้อสินค้าไปจำหน่ายต่อ ทำให้ชื่อเสียงของสินค้าแปรรูปจากหมู่บ้านเล็กๆ เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง
ด้วยความต้องการสินค้าที่เพิ่มมากขึ้น ป้าสมศรีและชาวบ้านในชุมชนรวมตัวกันจัดตั้ง "กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลไม้บ้านสมศรี" อย่างเป็นทางการ
ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐ ทั้งด้านความรู้การผลิต การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ และการขยายตลาด จนได้รับมาตรฐาน OTOP 5 ดาว
"ใครจะคิดว่าสับปะรดกวนของเราจะไปไกลถึงขนาดนี้" ป้าสมศรีบอกกับลูกหลาน เมื่อรู้ว่าสินค้าได้รับการคัดเลือกให้ไปแสดงในงานแสดงสินค้าอาหารนานาชาติ
ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์จากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลไม้บ้านสมศรี ส่งออกไปจำหน่ายในหลายประเทศในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา สร้างชื่อเสียงให้กับสินค้าไทยในตลาดโลก
ในขณะที่คนอื่นเห็นแต่ความหายนะจากสับปะรดราคาตกต่ำ ป้าสมศรีกลับมองเห็นโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตที่กำลังจะเสียหาย สะท้อนให้เห็นว่าการเปลี่ยนมุมมองเพียงเล็กน้อย อาจนำมาซึ่งโอกาสมหาศาล
ความสำเร็จของป้าสมศรีไม่ได้เกิดขึ้นเพียงลำพัง การแบ่งปันความรู้และโอกาสให้กับเพื่อนบ้าน ไม่เพียงช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชน แต่ยังเป็นการสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่ง ทำให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
จากถุงพลาสติกธรรมดา สู่บรรจุภัณฑ์ที่ทันสมัย จากสับปะรดกวนธรรมดา สู่ผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิด การพัฒนาไม่มีวันหยุดนิ่ง เป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้สินค้ายังคงอยู่ในตลาดได้อย่างยาวนาน
"สมัยก่อนเราเคยพูดกันว่า 'ทำอะไรไม่เป็น สับปะรด' แต่วันนี้ สับปะรดกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไป ฝากบอกคนไทยทุกคนว่า อย่ามองข้ามสิ่งเล็กๆ ที่มีอยู่ มันอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ก็ได้"
— ป้าสมศรี ผู้ก่อตั้งสับปะรดกวนแห่งชุมพร
เรื่องราวของป้าสมศรีเป็นเพียงหนึ่งในความสำเร็จของคนไทยที่ไม่ยอมแพ้ต่อวิกฤติ
หากคุณกำลังเผชิญกับความท้าทาย จงมองหาโอกาสและลงมือทำ เพราะความสำเร็จอาจอยู่ห่างออกไปเพียงก้าวเดียว